คำนี้เป็นคำกริยา แปลว่า “เรียน หรือ เรียนรู้” ซึ่งจะมีความหมายที่แตกต่างจาก Study ที่แปลเป็นไทยว่า “เรียน” เหมือนกัน แต่มันเรียนกันคนละแบบ คือ Lean คือ เรียนจนเกิดความรู้ หรือทักษะ เพิ่มขึ้น เป็นการเรียนจากการฝึกฝน หรือฟังครูบาอาจารย์สั่งสอนหรือให้แง่คิดกับเรา ทำให้เราพัฒนาตัวเราขึ้น ขณะที่ Study จะเน้นถึงกระบวนการที่ได้มาซึ่งความรู้หรือทักษะนั้นๆ เช่น การอ่าน การท่องจำ หรือเข้าชั้นเรียน ซึ่งอาจจะพัฒนาหรือไม่ได้พัฒนาตัวเองเลยก็ได้ มาดูตัวอย่างกันดีกว่า
I learn how to drive. ฉันเรียนรู้วิธีการขับรถ
I am studying lesson three. ฉันกำลังเรียนบทที่ 3
ตอนแรกกำลังจะคุยเรื่อง Learn กับคำศัพท์ที่คล้ายๆ กันอยู่ดีๆ ไหงๆ ไปๆ มาๆ กลายเป็น Learn กับ Study ไปได้ (ฮ่าๆ) กลับมาเข้าเรื่องเรากนดีกว่า อีกคำศัพท์ที่คล้ายๆ กับ Learn คือคำว่า
Lean (อ่านว่า ลีน) แปลว่า “พิง หรือพึ่งพิง”
คำนี้เป็นคำกริยา แปลว่า “พิง หรือ พึ่งพิง” นอกจากนี้ยังสามารถแปลว่า “เอียง หรือ โอนเอียง” ถ้าหากใช้เป็นคำนามจะแปลว่า “การเอียง” ถ้าใช้เป็นคำคุณศัพท์ (Adjective) จะแปลว่า “ผอม หรือบอบบาง” หากใช้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ หรือ เงินๆ ทองๆ Lean จะแปลว่า “ประหยัด” ตัวอย่างประโยคเช่น
Don’t lean on him. อย่าหวังพึ่งพิงเขาเลย
Somsri is as lean as a cat. สมศรีผอมราวกับแมว
สิ่งที่อยากให้สังเกตคือ คำว่า Learn กับ Lean นั้น สะกดต่างกันเพียแค่นิดเดียวจริงๆ นั่นคือมี r กับไม่มี r นี่ยังไม่นับการออกเสียงที่ก็ใกล้เคียงกันอีก นั่นคือ Learn (เลิน) กับ Lean (ลีน) ซึ่งหากฟังไม่ดี สะกดไม่แม่น รับรองมีสะกดผิดออกเสียงผิดกันแน่นอน ทีนี้ จาก Learn (เรียน) กลายเป็น Lean (พิง) หรือจะกลายเป็น Learn แบบ Lean คือเรียนแบบพึ่งพาพึ่งพิง เพื่อนๆ ในห้อง ให้ช่วยติว ช่วยเป็นต้นฉบับให้ลอกการบ้านหน่อย อันนี้ผมทำบ่อยสมัยเป็นเด็ก 555
อาจารย์บอม
Loading...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น